ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เส้นนาสกา


                                           
ภาพลี้ลับบนทะเลทรายที่รู้จักในชื่อลายเส้นนาสกา (Nasca Lines) อันประกอบไปด้วยรูปลายเส้นที่เน้นความเป็นธรรมชาติอย่างสัตว์และพืช เริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายในปลายทศวรรษ 1920 เมื่อสายการบินพาณิชย์เปิดเส้นทางบินระหว่างกรุงลิมากับอาเรกีปา เมืองทางใต้ของเปรู และนับแต่นั้นมาก็สร้างความฉงนฉงายให้เหล่านักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา และผู้หลงใหลในวัฒนธรรมโบราณของอเมริกามาตลอด ในเวลาไล่เลี่ยกัน บรรดานักวิทยาศาสตร์และมือสมัครเล่นทั้งหลายต่างพากันตีความลายเส้นเหล่านั้นไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนของชาวอินคา บ้างว่าเป็นผังระบายน้ำ หรือไม่ก็เป็นภาพที่เอาไว้ชื่นชมจากบอลลูนอากาศร้อนยุคโบราณ แต่ที่น่าขำที่สุดคงไม่พ้นทฤษฎีหลุดโลกที่บอกว่าเป็นลานจอดยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว



หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มาเรีย ไรเคอร์ ครูชาวเยอรมัน ได้ทำการสำรวจลายเส้นและรูปภาพซึ่งมีชื่อเรียกในทางวิชาการว่า ลิขิตธรณี (geoglyph - การวาดลายเส้นลงบนพื้น หรือการจัดเรียงเศษกรวด หิน ดิน บนพื้นดิน) อย่างเป็นทางการครั้งแรกนอกเมืองนาสกาและเมืองปัลปาที่อยู่ใกล้เคียง ไรเคอร์มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ลายเส้นเหล่านี้ตลอดครึ่งศตวรรษต่อมา กระทั่งเธอเสียชีวิตลงในปี 1998 และนับตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา ได้มีการดำเนินโครงการวิจัยร่วมระหว่างเปรู-เยอรมนีใกล้ๆ เมืองปัลปาที่อยู่ห่างขึ้นไปทางเหนือ โครงการนาสกา-ปัลปา (Nasca-Palpa Project) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของอีสลาและมาร์คุส ไรน์เดิล จากสถาบันโบราณคดีเยอรมนีนี้ มุ่งศึกษาชนเผ่าโบราณในภูมิภาคโดยบูรณาการวิชาการสาขาต่างๆ อย่างเป็นระบบ เริ่มจากที่ตั้งชุมชนและวิถีชีวิตของชาวนาสกา สาเหตุที่พวกเขาปลาสนาการไป และอะไรคือความหมายของลวดลายประหลาดที่พวกเขาทิ้งไว้บนพื้นทราย

ขณะที่เครื่องบินของเราตั้งท่าเลี้ยว ยอห์นี อีสลา นักโบราณคดีชาวเปรูก็แนบใบหน้ากับกระจก "สี่เหลี่ยมคางหมู!" เขาตะโกน พลางชี้ไปยังรูปเรขาคณิตขนาดยักษ์ที่เริ่มปรากฏให้เห็นรางๆ "นั่นแท่นครับ!" เขาเสริมพลางชี้นิ้ว "แท่นบูชาไงล่ะ!"

แท่นบูชาอย่างนั้นหรือ เขาชี้กองหินเล็กๆ ตรงมุมหนึ่งของสี่เหลี่ยมคางหมู หากอีสลาพูดถูก โครงสร้างขนาดเล็กที่ดูเรียบๆ นี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจความมุ่งหมายที่แท้จริงของลายเส้นนาสกา โดยเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นและสิ้นสุดลงที่น้ำ

ชายฝั่งทางใต้ของเปรูและทางเหนือของชิลีเป็นดินแดนอันแห้งแล้งที่สุดแห่งหนึ่งบนพื้นโลก ในภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นแอ่งขนาดเล็กและได้รับการปกป้องจากขุนเขาแอนดีส ที่ซึ่งวัฒนธรรมนาสการุ่งเรืองขึ้นนั้น มีแม่น้ำสิบสายไหลลงมาจากเทือกเขาแอนดีสซึ่งอยู่ทางตะวันออก แม่น้ำส่วนใหญ่จะเหือดแห้งอย่างน้อยก็ในบางช่วงของปี โครงข่ายของลำน้ำสีเขียวอันบอบบางสิบสายซึ่งแวดล้อมไปด้วยขุนเขาและทะเลทราย ก่อเกิดปัจจัยแวดล้อมอันเหมาะสมให้อารยธรรมยุคต้นถือกำเนิดขึ้น เบิร์นฮาร์ด ไอเทิล นักภูมิศาสตร์ในโครงการนาสกา-ปัลปา บอกว่า "พื้นที่แถบนี้เหมาะสมที่สุดสำหรับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์เพราะมีน้ำครับ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูงมากๆ ด้วย"

แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องน้ำท่าและลมฟ้าอากาศ แต่วัฒนธรรมนาสกาก็รุ่งเรืองอยู่นานถึง 800 ปี ราว 200 ปีก่อนคริสตกาล ชาวนาสกาเริ่มปรากฏตัวขึ้นจากวัฒนธรรมปารากัสที่รุ่งเรืองอยู่ก่อนหน้า โดยตั้งถิ่นฐานอยู่ตามหุบเขา ริมแม่น้ำและปลูกพืชผลต่างๆ เมืองหลวงอันเป็นศูนย์กลางการปกครองแบบเทวาธิปไตยของวัฒนธรรมนาสกา ยุคต้นคือแดนศักดิ์สิทธิ์บนผืนทรายชื่อ กาฮัวชี ณ ศูนย์กลางทางพิธีกรรมแห่งนี้นักโบราณคดีได้ค้นพบกลุ่มสิ่งปลูกสร้างที่ครอบคลุมพื้นที่ 1.5 ตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วยพีระมิดอิฐสูงตระหง่าน วิหารขนาดใหญ่หลายแห่ง ลานกว้างและแท่นประกอบพิธี ตลอดจนเครือข่ายบันไดและระเบียงทางเดินอันวิจิตรตระการตาที่เชื่อมต่อถึงกัน ในหนังสือว่าด้วยระบบชลประทานของนาสกาซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 2003 นักประวัติศาสตร์ชี้ว่า แม่น้ำนาสกาซึ่งไหลลงสู่ใต้ดินราว 15 กิโลเมตรทางตะวันออกของกาฮัวชี กลับโผล่ขึ้นเหนือพื้นดินอีกครั้งราวกับน้ำพุที่ผลุดพุ่งขึ้นตรงชานเมือง พวกเขาบรรยายว่า "การที่สายน้ำปรากฏขึ้น ณ จุดนี้ ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์อย่างแทบไม่ต้องสงสัย"

การสร้างลิขิตธรณีทำได้โดยการย้ายชั้นหินสีเข้มที่กระจายอยู่ทั่วพื้นดินออก เผยให้เห็นทรายสีอ่อนเบื้องล่าง เพียงเท่านี้ชาวนาสกาก็สามารถฝากรอยจารึกที่ดำรงอยู่หลายร้อยปีในสภาพภูมิอากาศอันร้อนแล้งได้ นักโบราณคดีเชื่อว่าการสร้างและดูแลรักษาลายเส้นเป็นกิจกรรมร่วมกันของชุมชน ณ ช่วงใดช่วงหนึ่งในยุคต้นของวัฒนธรรมนาสกา เส้นเหล่านี้ได้พัฒนาจากภาพธรรมดาๆ ไปสู่เส้นทางเดินที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม ก่อนจะกลายเป็นรูปทรงเรขาคณิตแบบเปิดในเวลาต่อมา โดยสี่เหลี่ยมคางหมูบางรูปมีความกว้างกว่า 600 เมตร นี่อาจเป็นการตอบสนองต่อประชากรที่เพิ่มขึ้นตามที่ทีมวิจัยเปรู-เยอรมนีบันทึกไว้ และอาจมีคนเข้าร่วมพิธีกรรมเหล่านี้มากขึ้น ไรน์เดิลบอกว่า "เราคิดว่าลายเส้นพวกนี้ไม่ได้เป็นภาพที่เอาไว้ดูอีกต่อไป แต่เป็นเหมือนเวทีที่ให้คนขึ้นไปเดินเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาครับ"

เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่ชนเผ่าในแถบเทือกเขาแอนดีสบูชาเทพเจ้าในรูปภูเขาอย่างเซร์โรบลังโก ข้อมูลจากนักสำรวจประจำสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ระบุว่า ภูเขามีความเกี่ยวโยงกับแหล่งน้ำในเชิงตำนานหรือความเชื่อมากกว่าจะเป็นเรื่องทางธรณีวิทยา (แม้แต่ภูเขาที่ไม่มีทางน้ำใต้ดินยังได้รับความเคารพในฐานะเทพเจ้าและถือเป็นแหล่งน้ำด้วย) เศษเครื่องปั้นดินเผาในวัฒนธรรมนาสกาที่พบกระจัดกระจายตลอดเส้นทางไปสู่ยอดเขาเซร์โรบลังโกบ่งชี้ว่า การเชื่อมโยงเช่นนี้มีอยู่อย่างลึกซึ้งมาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว แต่การค้นพบที่แท้จริงซึ่งเชื่อมโยงพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เข้ากับการบูชาแม่น้ำเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2000 บนลิขิตธรณีรูปสี่เหลี่ยมคางหมูเหนือที่ราบสูงรกร้างใกล้หมู่บ้านยูนามา ก่อนหน้านี้ นักโบราณคดีมักพบกองหินขนาดใหญ่ที่มนุษย์สร้างขึ้นอยู่ตรงปลายสี่เหลี่ยมคางหมู ซึ่งพวกเขาสงสัยว่าอาจเป็นแท่นประกอบพิธี ขณะที่ไรน์เดิลขุดสำรวจกองหินกองหนึ่ง เขาก็พบเศษเครื่องปั้นดินเผา เปลือกกุ้งนาง ซากพืชผัก และเศษวัสดุอื่นๆ ที่เห็นได้ชัดว่าเป็นเครื่องบวงสรวง นอกจากนี้ เขายังพบเศษเปลือกหอยขนาดใหญ่ในสกุลหอยนางรมหนาม (Spondylus) ที่มีลักษณะโดดเด่นด้วยเปลือกสีครีมอมส้มและหนามแหลมบนพื้นผิว ซึ่งพบในน่านน้ำนอกชายฝั่งทางเหนือของเปรูเฉพาะช่วงที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ ดังนั้น จึงมีความเกี่ยวโยงกับการมาถึงของฝนและความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร

"เปลือกหอยนางรมหนามเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งทางศาสนาที่ใช้แทนน้ำและความอุดมสมบูรณ์ และน่าจะเชื่อมโยงกิจกรรมบางอย่างเข้ากับการสวดขอน้ำ เห็นได้ชัดเลยครับว่าน้ำเป็นปัญหาใหญ่ในแถบนี้" ไรน์เดิลอธิบาย "ในเวลาต่อมา โดยเฉพาะในยุคกลางและยุคหลังของวัฒนธรรมนาสกา นักโบราณคดีพบหลักฐานการฝังศพมนุษย์ที่ถูกบั่นศีรษะเพื่อเป็นเครื่องบูชายัญมากขึ้น อันเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนประสบความกดดันทางสิ่งแวดล้อมอย่างแสนสาหัส ซึ่งอาจเป็นความแห้งแล้งหรือพืชผลทางการเกษตรล้มเหลวก็เป็นได้ และถ้านั่นคือการบูชายัญแล้ว พวกเขาคงทำไปเพื่ออ้อนวอนเทพเจ้า"

แต่ท้ายที่สุด ทั้งเครื่องเซ่นสรวงและการสวดอ้อนวอนก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จากทวยเทพ

แทบไม่มีข้อสงสัยเลยว่าน้ำการขาดแคลนน้ำเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดในความอยู่รอดของวัฒนธรรมนาสกาในช่วงท้ายๆ หรือราว ค.ศ. 500 ถึง 600 นักธรณีฟิสิกส์พบร่องรอยว่า ทะเลทรายได้แผ่อาณาเขตเข้าสู่ที่ราบระหว่างหุบเขาทางตะวันออกของเมืองปัลปาเป็นระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตรระหว่าง 200 ปีก่อนคริสตกาลถึงปี ค.ศ. 600 โดยแผ่ไปถึงระดับความสูงราว 2,000 เมตร ในเวลาเดียวกัน ศูนย์กลางประชากรในแถบลุ่มแม่น้ำรอบๆ ปัลปาก็เคลื่อนย้ายขึ้นไปทางเหนือของหุบเขามากขึ้น ราวกับว่าพวกเขาพยายามดิ้นรนหนีให้พ้นจากภัยแล้ง ไอเทิลสรุปไว้ในรายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่า "ในช่วงปลายศตวรรษที่หก ความแห้งแล้งทวีความรุ่นแรงถึงขีดสุดและชุมชนนาสกาก็ล่มสลาย"

"ไม่ใช่แค่สภาพอากาศเท่านั้นนะครับที่ทำให้วัฒนธรรมนาสกายุคต้นที่กาฮัวชีล่มสลาย เราอาจพูดได้เลยว่า ชะตากรรมเดียวกันนี้น่าจะนำไปสู่อวสานของวัฒนธรรมนาสกาโดยรวมเช่นกัน" ยอห์นี อีสลา นักโบราณคดีชาวเปรูบอกผม "วิกฤติและความระส่ำระสายเกิดขึ้นเพราะหุบเขาบางแห่งมีน้ำมากกว่าแห่งอื่นๆ และผู้นำชุมชนในหุบเขาต่างๆ อาจขัดแย้งกัน"

ลิขิตธรณีจึงเปรียบได้กับเครื่องเตือนใจอันเปี่ยมไปด้วยพลังและมีนัยทางพิธีกรรมให้ชาวนาสการู้ว่า ชะตากรรมของพวกเขาผูกพันแนบแน่นกับสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นความงามตามธรรมชาติ ความอุดมสมบูรณ์ที่ไม่จีรัง หรือความเกรี้ยวกราดที่คุกคามต่อความเป็นความตาย เราจะมองเห็นความเคารพในธรรมชาติของชาวนาสกาได้ ทั้งในยามสมบูรณ์พูนสุขหรือแร้นแค้นขาดแคลนอย่างถึงที่สุด ในทุกเส้นสายและส่วนโค้งเว้าที่พวกเขาบรรจงลิขิตไว้บนพื้นทะเลทราย เมื่อเท้าของเราย่างเหยียบไปบนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาด้วยความเคารพนอบน้อม แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ เราจะสัมผัสถึงความเคารพยำเกรงนั้นได้ด้วยตัวเอง.

คำบรรยายภาพ? ศีรษะที่ถูกบั่นขาดร้อยเชือกถักจากกาฮัวชีนี้น่าจะเป็นเครื่องรางที่เชื่อว่านำความอุดมสมบูรณ์มาให้ เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายอาจเป็นคนพื้นเมืองที่ถูกสังเวยเพื่อบูชายัญยามเมื่อเกิดภัยแล้ง
? ซากศพจำนวนมากที่ถูกฝังรวมทั้งชายคนนี้ซึ่งขุดพบในอูยูไยยา กลายเป็นมัมมี่ตามธรรมชาติเนื่องจากสภาพอากาศแห้งแล้งในภูมิภาค
                                        

? นักโบราณคดี อัลแบร์โต อูร์บาโน ชี้ให้เห็นเส้นทางอันคดเคี้ยวบนภาพปริศนาที่อาจสร้างขึ้นเพื่อให้คนเดินไปตามทาง ในลักษณะเดียวกับที่พบในลายเส้นนาสกาอื่นๆ
                                                 ? บนทะเลทรายริมชายฝั่งทะเลทางใต้ของเปรู ภาพสลักบนพื้นดินที่กระจายอยู่ทั่วภูมิทัศน์ ทั้งแมงมุม ลิง สัตว์บินได้รูปร่างประหลาด และอื่นๆ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่นักเดินทางทางอากาศตั้งแต่มีผู้พบเห็นครั้งแรกในทศวรรษ 1920 ขณะนี้ นักโบราณคดีเชื่อว่าพวกเขารู้เหตุผลที่ชนโบราณสร้างภาพเหล่านี้ขึ้นเมื่อกว่า 2,000 ปีก่อน

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เทพชุส


เทพซูส (อังกฤษZeus) เป็นราชาแห่งทวยเทพ ผู้ปกครองเขาโอลิมปัส (Olympus) และเทพแห่งท้องฟ้าและฟ้าร้องของตำนานเทพปกรณัมกรีกสัญลักษณ์ประจำพระองค์คือสายฟ้า โคเพศผู้ นกอินทรี และต้นโอ๊ก นามของซีอุสแปลว่าความสว่างของท้องฟ้า

กำเนิดของซุส


ตำนานการถือกำเนิดของเทพซูสมีอยู่ว่า เทพีไกอาเทพมารดาแห่งผืนดิน ได้สมรสกับเทพยูเรนัสเทพแห่งท้องฟ้า และมีบุตรกลุ่มแรกคือ เหล่าเทพไททันซึ่งสร้างความภาคภูมิแก่เทพยูเรนัสมาก แต่ทว่าบุตรต่อๆมาของเทพีไกอากลับอัปลักษณ์และน่ากลัว เช่น ยักษ์ไซคลอปส์ที่มีตาข้างเดียวกลางใบหน้า และอสุรกายน่าเกลียดต่างๆ ทำให้เทพยูเรนัสพิโรธโยนบุตรเหล่านั้นลงไปขังในคุกทาร์ทะรัสใต้พิภพ
เทพีไกอาแค้นเทพยูเรนัสมากจึงยุยงให้เหล่าเทพไททันก่อกบฏ ไม่มีเทพองค์ใดที่กล้าชิงบัลลังก์พระบิดายกเว้นเทพโครนัส และจากการช่วยเหลือจากเทพีไกอาทำให้เทพโครนัสชิงอำนาจได้สำเร็จ ทว่าเทพโครนัสไม่ได้ทำตามสัญญาที่จะปลดปล่อยอสูรผู้เป็นน้อง เทพีไกอาจึงสาปแช่งว่าบุตรที่จะเกิดมาของโครนัสจะชิงอำนาจไปเหมือนกับที่บิดาเคยทำ
เทพโครนัสตระหนักมากเพราะหลังจากนั้นไม่นาน เทพีรีอา พระชายาก็ตั้งครรภ์ เมื่อได้ข่าวการประสูติ เทพโครนัสจึงบุกเข้าไปในตำหนักพระชายาและจับทารกผู้เป็นสายเลือดของตนกลืนลงท้องไป และครรภ์ต่อๆมาของเทพีรีอาก็เช่นกัน ส่งผลให้เทพีรีอาเศร้าเสียใจอย่างมาก
โครนัสให้กำเนิดบุตรและธิดารวมหกองค์ คือ เฮสเทีย เฮดีส ดีมิเตอร์ โพไซดอน เฮรา ซูส ซึ่งพอกำเนิดมาได้ถูกโครนัสจับกลืนลงท้องไปแต่เนื่องด้วยซูสหนีออกมาได้ จึงรอให้ตัวเองโตแล้วกลับมาช่วยอีก 6 องค์ในภายหลัง เนื่องจาก เฮสเทีย เฮดีส ดีมิเตอร์ โพไซดอน และเฮรา เป็นเทพจึงไม่ตายตอนอยู่ในท้องของโครนัส

การโค่นอำนาจไททันโครนัส

ความคับแค้นใจทำให้เทพีรีอาตัดสินใจเก็บบุตรคนสุดท้องเอาไว้ โดยแสร้งส่งก้อนหินห่อผ้าให้เทพโครนัสไป ทารกซูสถูกเลี้ยงดูอย่างดีโดยเทพีไกอาผู้เป็นย่าได้นำทารกซีอุสไปซ่อนไว้ในหุบเขาดิกเทอ ในเกาะครีต ซีอุสกินอาหารคือน้ำผึ้งและน้ำนมจากนิมฟ์ครึ่งแพะที่ชื่อว่า อะมาลไธอา ซึ่งในภายหลังซีอุสได้ได้สร้างนางให้เป็นกลุ่มดาวแพะ หรือกลุ่มดาวมกรในจักรราศีและมีครึ่งเทพครึ่งแพะแห่งป่าที่เล่นฟลุทอยู่ตลอดเวลาชื่อแพนเป็นผู้ให้การศึกษา เมื่อซีอุสเติบใหญ่แข็งแรงจึงหวนกลับไปแก้แค้นโครนอสผู้เป็นเทพบิดาตามคำร้องขอของเทพีมารดา
รีอาได้หลอกให้โครนอสกินยาที่จะทำให้สำรอกบุตรที่เคยกลืนออกมา ด้วยความเป็นเทพเจ้าทำให้เหล่าเทพที่ถูกกลืนลงไปไม่ตายซ้ำยังเติบโตขึ้น เรียงลำดับได้ดังนี้
                                           
1.เทพีเฮสเทีย หรือ เวสตา เทพีแห่งไฟและเทพีผู้คุ้มครองครอบครัว เป็นเทพีครองพรหมจรรย์
                                           
2.เทพี ดีมิเตอร์ หรือ เซเรสเทพีแห่งพันธุ์พืช ธัญญาหารและการเพาะปลูก มีธิดากับเทพซูสหนึ่งองค์คือ เทพีเพอร์ซิโฟเน หรือ โพรเซอพิน่าผู้เป็นชายาของฮาเดส
                                               
3.เทพี เฮราหรือ จูโนเทพีแห่งการสมรส เป็นมเหสีของเทพซูส ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องหึงหวง มีโอรสและธิดากับเทพซูส 3 องค์คือ เฮฟเฟสตุส ฮีบีกับ อาเรส
                                       
4.เทพเฮดีสหรือ พลูโต จ้าวแห่งดินแดนใต้พื้นพิภพ เป็นผู้ปกครองพิภพบาดาลและโลกคนตาย มีเทพีเพอร์ซิโฟเนหรือ โพรเซอร์พิน่าเทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิผู้เป็นธิดาของเทพีเซเรสเป็นมเหสี
                                          
5.เทพโพไซดอนหรือ เนปจูน จ้าวแห่งท้องทะเล ปกครองน่านน้ำเมดิเตอร์เรเนียนและน้ำที่ใช้ประโยชน์ได้ มีเทพีแอมฟิไทรท์ หรือ อัมฟิตรีติ เป็นมเหสี
เมื่อเทพทั้งห้าได้ออกมาจากท้องของโครนัสแล้วจึงร่วมกับซูสปราบโครนัสและส่งโครนัสไปขังไว้ที่ทาร์ทะรัส
ซูสได้รับตำแหน่งเทพผู้นำของเหล่าเทพ เนื่องจากการจับฉลากแบ่งหน้าที่ของทั้งสามพี่น้อง และได้พาเหล่าเทพทั้งหลายขึ้นไปอาศัยอยู่บนเทือกเขาโอลิมปัส
แม้ว่าเหล่าเทพทุกองค์จะยอมยกตำแหน่งผู้นำให้กับซูสในทีแรก แต่ในตอนหลังเหล่าเทพต่างๆก็ต่างพากันหาหนทางในการยึดอำนาจมาเป็นของตนเองอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฮราผู้เป็นชายาของซูส ได้พยายามที่จะรวบรวมเหล่าเทพเพื่อก่อการกบฏอยู่เสมอ แต่ในท้ายที่สุดซูสก็สามารถที่แก้ไขปัญหา และจับตัวนางมาลงโทษได้อยู่เสมอ

10 ผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก

วันนี้เรามาดู 10 อันดับผู้รักษาประตู ที่ดีที่สุดใน พรีเมียร์ ลีก กันนะครับว่าจะตรงกับใจที่คิดเอาไว้บ้างหรือป่าววว..ซึ่งการจัดอันดับครั้งนี้อ้างอิงมาจากสื่อชั้นนำของอังกฤษอย่าง "เดอะซัน" 
 
 

      10. โจ ฮาร์ท 
     มีผู้รักษาประตูดาวรุ่งชาวอังกฤษหลายคน ที่ลงยืนเฝ้าเสาให้กับต้นสังกัดของตนเองไม่ว่าจะเป็น สกอตต์ คาร์สัน, คริส เคิร์กแลนด์ และ เบน ฟอสเตอร์ แต่ยังมีข้อสงสัยว่าพวกเขาจะไปได้ไกลแค่ไหนกัน เพราะในเวลานี้ ฮาร์ท นายทวารของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งได้รับโอกาสโชว์ฝีมือให้ได้เห็นกันมากกว่าใครเพื่อน ซึ่งจะทำให้เขามีลุ้นขึ้นมาไปเป็นมือ 1 ทีมชาติอังกฤษคนต่อไป


      9. มาร์ค ชวาร์เซอร์ 
     ฤดูกาลนี้นับเป็นปีที่ 13 ของเขาในอังกฤษ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา มาร์ค ชวาร์เซอร์นายทวารทีมชาติออสเตรเลีย สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการปฏิเสธต่อสัญญากับ มิดเดิ้ลสโบรช์ แล้วก็เดินทางลงใต้มายังลอนดอนเพื่อเฝ้าเสาให้กับ ฟูแล่ม ทีมเล็กๆในเมืองหลวง และเขาก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่เขาเลือกนั้นมันถูกแล้ว เพราะเขาเสีย12 ประตูเท่านั้น จากการลงสนามไปทั้งสิ้น 16 เกม


      8. ยุสซี่ ยาสเคไลเน่น 
     ยาสเคไลเน่น เก็บสถิติในพรีเมียร์ลีกไปแล้วกว่า 400 เกม จาก 12 ปีที่เขาลงเฝ้าเสาให้กับ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส แต่ทว่าในวัย 33 ปี จอมหนึบจากฟินแลนด์กลับโชว์ผลงานได้โดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ เขาเกือบย้ายออกจากถิ่น รีบอค สเตเดี้ยมไปแล้ว เมื่อช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ท้ายที่สุด เขาก็ตกลงใจต่อสัญญาอีก 1 ปี เพื่อช่วย "เดอะ ทร็อตเตอร์ส" ลุ้นหนีตายจากการตกชั้นอีกครั้งหนึ่งในปีนี้


      7. โรเบิร์ต กรีน 
     ถ้านับจากเกมช่วยทีมชาติ กรีนคงไม่ได้มีชื่ออยู่ในการจัดอันดับครั้งนี้ แต่ฟอร์มสุดหนึบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด สร้างความประทับใจมาตลอด3ฤดูกาลแล้ว ไม่เพียงแต่ เหล่าสาวก "ขุนค้อน" และคนอื่นๆใน อัพตัน พาร์ค เพียงเท่านั้น ที่ยากจะเข้าใจว่าทำไม ฟาบิโอ คาเปลโล่ มักมองข้าม ผู้รักษาประตูดีรายนี้ไป


      6. แบรด ฟรีเดล 
     เมื่อตอนที่ ฟรีเดล เฝ้าเสาให้ ลิเวอร์พูล มีน้อยคนที่จะยกย่องให้เขาเป็นมือหนึ่งที่ดีที่สุดในลีก แต่สิ่งที่จอมหนึบชาวอเมริกัน ทำให้กับ แบล็คเบิร์น และ แอสตัน วิลล่า เป็นการยืนยัน ได้เป็นอย่างดี ว่าเขาสมควรได้รับการยกย่องแบบนั้น


      5. เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 
     เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องรออีกถึง 4 ปี กว่าจะได้เซ็นสัญญากับมือกาวรายนี้ หลังถูกฟูแล่ม ตัดหน้าซื้อไปเมื่อปี 2001 ฟาน เดอร์ ซาร์ เป็นผู้รักษาประตูคนแรกที่สามารถไว้วางใจได้หลังจากการจากไปของ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล เมื่อปี 1999 และการเซฟลูกจุดโทษของ นิโกล่าส์ อเนลก้า ทำให้ทีมคว้าถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้อีกด้วย ล่าสุดนายทวารร่างโย่งคนนี้ก็ตกลงปลงใจต่อสัญญาออกไปอีก1ปีแล้ว


      4. เดวิด เจมส์ 
     อีกแค่ 2 ปี ก็จะอายุครบ 40 เจมส์ยังคงฉายแสงอยู่เป็นเนืองๆ นายทวารปอร์ทสมัธ กลับมายึดตำแหน่งมือ 1 ทีมชาติอังกฤษได้อีกครั้ง จากฟอร์มเหนียวหนึบที่เขาแสดงให้เห็นในถิ่น แฟร็ตทัน พาร์ค ไม่ได้พูดเวอร์จนเกินไป หากจะบอกว่าเขาน่าจะเป็นอันดับ 1 ใน การเลือกครั้งนี้ ถ้าเขาลบฉายาประูตูจอมเฟอะฟะ ออกไปได้



      3. เชย์ กิฟเว่น 
     ปราการหลังของ นิวคาสเซิ่ล ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ทำให้สถิติของ กิฟเว่น ไม่ค่อยน่าชื่นชมนัก แต่นั่นเป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวของเรื่องราว กองหลังส่วนใหญ่ที่ปักหลักอยู่ข้างหน้าเขาฝีเท้าเข้าขั้นห่วยแตก จนน่าจะทำให้พวกเขาตกชั้นไปตั้งนานแล้ว แต่ที่ยังคงอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะฟอร์มการเซฟที่สุดยอดของนายทวารรายนี้


      2. เปเป้ เรน่า 
     มีแฟน"หงส์แดง" ไม่กี่คนที่เคยได้ยินชื่อของ เรน่า เมื่อครั้งที่เขาย้ายมาจาก บียาร์รีล ด้วยค่าตัวแค่6ล้านปอนด์ ในปี 2005 แต่ประตูชาวสแปนิชรายนี้ กลับทำหน้าที่เฝ้าเสาประตูได้อย่างยอดเยี่ยมแทนที่ตำแหน่งของ เจอร์ซี่ ดูเด็ค และถ้า"หงส์แดง" ต้องลงดวลจุดโทษเมื่อไหร่ คุณย่อมรู้ดีว่า ควรวางเดิมพันฝั่งไหน


      1. ปีเตอร์ เช็ก 
     เช็ก เฉือน เรน่า เข้าเส้นชัยแบบฉิวเฉียด นายประตูทีมชาติเช็ก อาจสูญเสียความสุดยอดของเขาไปบ้างเมื่อตอนเพิ่งย้ายเข้ามาสู่รัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ในช่วงแรกๆ แต่หลังจากนั้น เขากลับมารักษาฟอร์มระดับโลกได้อย่างต่อเนื่อง และต้องบอกว่า ตอนนี้เขาได้กลับมาสมบูรณ์แบบอีกครั้ง หลังจากได้รับบาดเจ็บกระทบกระเทือนที่หัวอย่างรุนแรง ในเกมกับ เร้ดดิ้ง เมื่อสองปีก่อน